เจ้าผู้ครองนครน่าน ซื้อเครื่องบินให้กับสยามประเทศ และเป็นที่มาของการสร้างสนามบินน่านด้วยหยาดเหงื่อแรงกายพี่น้องชาวน่านจนเป็นสนามบิน “น่านนคร” ในปัจจุบัน

เมื่อปี พ.ศ. 2458 เจ้าอุปราช (มหาพรหม ณ น่าน) เจ้าอุปราชนครน่าน (อิสริยศในขณะนั้น) ได้ทรงบริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อซื้อเครื่องบินให้แก่กองทัพอากาศ[3] จำนวน 1 ลำ ซึ่งต่อมาพระองค์มีพระประสงค์จะชมเครื่องบินลำที่พระองค์ซื้อให้แก่กองทัพอากาศ จึงได้นำความปรึกษากับอำมาตย์เอก พระวรไชยวุฒิกรณ์ ปลัดมณฑลพายัพ เพื่อจัดสร้างสนามบินขึ้น เมื่อพระวรไชยวุฒิกรณ์เห็นชอบแล้ว จึงได้เกณฑ์แรงงานราษฎรทำการถางโค่นต้นไม้ บริเวณตำบลหัวเวียงเหนือ เพื่อสร้างสนามบินขึ้น โดยใช้เวลาในการสร้างประมาณ 3 ปีเศษ จึงแล้วเสร็จ และทางกองทัพอากาศจึงได้นำเครื่องบินแบบ “เบเก้” จำนวน 3 ลำ รวมทั้งลำที่เจ้าอุปราชฯ ได้ทรงบริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อให้ บินจากกองทัพอากาศดอนเมืองถึงสนามบินน่านสำเร็จและลงอย่างปลอดภัย ครั้นเมื่อเครื่องบินได้กลับไปแล้วก็มิได้ใช้สนามบินนี้อีก คงปล่อยทิ้งไว้และได้รับการบำรุงรักษาตามสมควร

ต่อมาเมื่อเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนกับฝรั่งเศส สนามบินได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกครั้งเพื่อให้เครื่องบินจำนวน 3-4 ลำจากกองทัพอากาศสามารถมาประจำที่สนามบินน่านได้ แต่เมื่อสงครามอินโดจีนยุติลง ก็ไม่มีการใช้สนามบินอีก หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 ปีเศษ สนามบินได้รับการปรับปรุงอีกครั้งหนึ่ง โดยทำการขยายทางวิ่งให้กว้างประมาณ 10 เมตร ยาวประมาณ 600 เมตร ผิวทางวิ่งบดทับด้วยดินลูกรัง พอที่เครื่องบินขนาดเล็กจะขึ้น-ลงได้ และเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2514 กองทัพอากาศไทยได้จัดหน่วยบิน 231 ซึ่งมีเครื่องบินขับไล่ ทิ้งระเบิดมาประจำสนามบินน่าน พร้อมย้ายหน่วยบิน 713 และ 333 จากอำเภอเชียงกลาง มาประจำที่สนามบินน่าน รวมกันตั้งเป็นฝูงบิน 416 ต่อจากนั้นหน่วยบินของกองทัพบก และกรมการบินพาณิชย์ ได้ย้ายเข้ามาใช้พื้นที่ร่วมกับกองทัพอากาศ จึงได้ร่วมกันซ่อมทางวิ่งบางตอนที่ชำรุดให้ได้มาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถของทางวิ่งให้เป็นผิวแอสฟัลส์ติดคอนกรีต ยาว 2,000 เมตร กว้าง 45 เมตร ทางเผื่อหัวท้ายข้างละ 60 เมตร รับน้ำหนักสูงสุดได้ประมาณ 67,000 กิโลกรัม จนเครื่องบินขนาดใหญ่แบบซี-130 เฮอร์คิวลิส สามารถขึ้น-ลงได้อย่างปลอดภัย

ปี พ.ศ. 2523 กรมการบินพาณิชย์ ได้จัดสร้างอาคารที่ทำการท่าอากาศยานน่าน (อาคารเดิม) เป็นอาคารชั้นเดียวประกอบด้วยห้องพักผู้โดยสาร ที่ทำการท่าอากาศยานน่านและพื้นที่ลานจอดรถยนต์ ไว้บริการแก่ผู้โดยสารทั่วไป[4]

ปี พ.ศ. 2555 กรมการบินพลเรือน (บพ.) กระทรวงคมนาคม ได้ก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ที่ท่าอากาศยานน่าน ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยใช้งบประมาณค่าก่อสร้างจำนวน 169,060,000 บาท มีพื้นที่รวม 5,750 ตารางเมตร อาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 2 ชั้น มีดาดฟ้า พร้อมระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ระบบไฟฟ้าและสื่อสาร สามารถรองรับผู้โดยสารในชั่วโมงเร่งด่วน จำนวน 300 คน/ชั่วโมง หรือประมาณวันละ 2,400 คน และอาคารอื่น ๆ ได้แก่ อาคารโรงเก็บเครื่องมือกล และอาคารที่ทำการดับเพลิง ขนาด 720 ตารางเมตร สามารถจอดรถดับเพลิงได้ จำนวน 6 คัน พร้อมลานจอดรถยนต์ด้านหน้าอาคารประมาณ 540 ตารางเมตร และอาคารโรงเก็บเครื่องยนต์กำเนิดไฟฟ้าขนาด 126 ตารางเมตร และได้เปิดให้สายการบินและผู้โดยสารใช้บริการอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2557 [5]

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ของท่าอากาศยานน่านว่า “ท่าอากาศยานน่านนคร

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานน่านนคร โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม นายวรเดช หาญประเสริฐ นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี นายพงษ์ไชย เกษมทวีศักดิ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายสมชาย พิพุธวัฒน์ อธิบดีกรมการบินพลเรือน ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคม ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ภาครัฐ และภาคเอกชน เฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ ณ ท่าอากาศยานน่านนคร จังหวัดน่าน ในวันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 19.00 น.[6]

ในวโรกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ของท่าอากาศยานน่านว่า “ท่าอากาศยานน่านนคร” หมายถึง ท่าอากาศยานแห่งจังหวัดน่าน และพระราชทานพระราชานุญาตให้เชิญตราสัญลักษณ์ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 ประดับที่ป้ายท่าอากาศยานฯ ดังกล่าว

ข้อมูลทางกายภาพ

  • อาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ (ปัจจุบัน) เป็นอาคารสองชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 5,750 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 300 คน ในชั่วโมงคับคั่ง หรือรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 864,000 คนต่อปี จำนวนที่จอดรถ 170 คัน
  • อาคารที่พักผู้โดยสารหลังเดิม เป็นอาคารชั้นเดียว ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 1,003 ตรม ตารางเมตร
  • ทางวิ่ง (Run Way) จำนวน 1 เส้น กว้าง 45 เมตร ยาว 2,000 เมตร กำหนดทางวิ่งเป็น 02 และ 20 พร้อมลานกลับลำด้านหัวทางวิ่ง 20 และระยะเผื่อหัว-ท้ายด้านละ 60 เมตร รับน้ำหนักได้ 74 ตัน
  • ทางขับ (Taxi way) จำนวน 1 เส้น, 4 ช่องทาง คือ A, B, C และ D ทาง A – C กว้าง 30 เมตร, C – D กว้าง 20 เมตร
  • ลานจอดอากาศยาน (Apron)

– ลาดจอดที่ 1 ขนาดกว้าง 35 เมตร ยาว 80 เมตร รองรับเครื่องบินแบบเอทีอาร์ 72 ได้พร้อมกัน 2 ลำ หรือเครื่องบินแบบโบอิง 737-400 ได้ 1 ลำ- ลาดจอดที่ 2 ขนาดกว้าง 100 เมตร ยาว 235 เมตร รองรับเครื่องบินแบบเอทีอาร์ 72 ได้พร้อมกัน 3 ลำ หรือเครื่องบินแบบโบอิง 737-400 ได้พร้อมกัน 2 ลำ- หลุมจอดเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 หลุม

  • จำนวนเครื่องบินที่รองรับได้ 8 เที่ยวบิน/วัน
  • จำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้ 2,400 คน/วัน หรือประมาณ 864,000 คน/ปี[7]

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org


แสดงความคิดเห็นผ่าน Facebook